ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

รู้ไม่ถึง

๒ พ.ค. ๒๕๖๓

รู้ไม่ถึง

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรมวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๓

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : เรื่อง “ธรรมใหม่”

กราบหลวงพ่อ ขอบพระคุณหลวงพ่อมากครับที่ให้คำสอนคอยเตือนสติและตอบคำถามข้อสงสัยก่อนหน้านี้ ผมก็เริ่มกลับมาทำความสงบใหม่ ในครั้งหนึ่งผมตั้งสัจจะภาวนาตลอดรุ่ง นั่งภาวนาพุทโธสลับกับเดินจงกรมภาวนา

พอเดินจงกรมภาวนาพุทโธแล้วมันดีมาก มันจะนั่งอย่างเดียว แทบเดินไม่ได้เลย พุทโธรัวๆ มันจะจดจ่อที่เดียว แล้วพอเดินไปๆ มันรู้สึกจะเดินไม่ไหว เหมือนจะต้องนั่งตรงนั้นเลย พอเป็นแบบนี้ก็กลับมานั่งภาวนาพุทโธ แต่ครั้งนี้รู้สึกเหมือนจิตจะส่งออกไปรู้เห็นเยอะมาก มีภาพอะไรหลายๆ อย่างมันมาอย่างรวดเร็วมาก แต่ก็ภาวนาพุทโธไม่ขาด พุทโธได้ตลอดเวลา ไม่ทิ้งเลย พยายามปล่อยสิ่งที่จิตจะพาออกให้มาอยู่กับพุทโธนั้น คือคืนนั้นภาวนาพุทโธตลอดรุ่งครับ

ครั้งนี้ผมนั่งฟังเทศน์ของหลวงพ่อแล้วก็นั่งสมาธิทำความสงบใจ พุทโธชัดๆ พุทโธตลอดเวลาไม่ทิ้งเลย แล้วเวทนามันกลับเกิดขึ้นก็พิจารณาเวทนา พิจารณาแล้วก็ไม่ลืมพุทโธ ไม่ทิ้งเลย ครั้งนี้จะพุทโธอย่างเดียว ไม่ยอมทิ้งพุทโธ แต่จิตในขณะนั้นมันจดจ่อกับพุทโธแทบตลอดเวลา แต่อาการเวทนามันก็เกิดขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ ก็พิจารณาไป มีแต่เวทนาที่เข้ามา ไม่มีอาการอย่างอื่นเข้ามาแทรกเลย ก็พิจารณาเวทนาอยู่ แล้วก็กลับมาพุทโธชัดๆ อยู่อย่างนี้ตลอดเวลา แล้วก็ค่อยๆ ถอนออกจากสมาธิ กราบขอบพระคุณหลวงพ่ออย่างสูง

ตอบ : นี่คำขอบคุณนะ คำขอบคุณๆ ขอบคุณ เพราะเวลาถามตอบปัญหากัน ถ้าถามตอบปัญหากันนะ เวลาหลวงตาท่านถามตอบปัญหากับครูบาอาจารย์ที่ท่านไปแก้ไข ท่านบอกให้พูดมา ถ้าพูดมาแค่ไหนๆ ชั้นไหนก็รู้

พอชั้นไหนแล้วท่านบอกให้พูดต่อไป ถ้าพูดต่อไป บอกแค่นี้จบแล้ว แล้วคิดว่าอะไรล่ะ ก็คิดว่านี่สิ้นกิเลสแล้ว ท่านบอกว่าไม่ใช่ ไม่ใช่แล้วท่านก็อธิบายให้ฟังๆ อธิบายให้ฟังแล้วบอกว่าให้ภาวนาต่อเนื่องไป เวลาภาวนาต่อเนื่องไปมันมีช่องทางไปแล้วมันก็หัดภาวนาต่อเนื่องไป มันยังมีช่องทางไปต่อ เห็นไหม

ขนาดที่บอกว่า แล้วเข้าใจว่าอย่างไรล่ะ ก็เข้าใจว่าสิ้นกิเลสแล้วไง นิพพานเป็นอย่างนี้ ท่านบอก อุ๊ยตาย มันยังไม่ใช่ ท่านก็ชี้นำต่อไปๆ

เวลาท่านแก้ไข ธมฺมสากจฺฉา เวลาแก้ไขกันในวงกรรมฐาน เขาจะสนทนาธรรมแล้วมันจะเข้าใจได้ เข้าใจได้เพราะอะไร เข้าใจได้เพราะจิตมันระดับเดียวกัน จิตมันเหมือนกัน จิตมันเป็นอันเดียวกัน เวลาเป็นอันเดียวกันนะ อริยสัจมีหนึ่งเดียว

จะภาวนาอย่างไร จะเป็นเซน จะเป็นเว่ยหล่าง จะเป็นหลวงปู่มั่น จะเป็นอะไร นิพพานอันเดียวกันน่ะ ไม่มีต่างกันหรอก นิพพานคืออันเดียวกัน แล้วมันมีที่มาที่ไปด้วย

เพราะหลวงตาท่านพูดไง พวกเว่ยหล่างนี่ปัญญาวิมุตติ ปัญญาวิมุตติคือใช้ปัญญานำหน้า แต่เถรวาทเรา เถรวาทเรามันมีประเพณีวัฒนธรรม มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ให้มีระดับทาน ศีล ภาวนา

ถ้าทำทานๆ ทำทานเพื่อหัวใจให้มันเปิดกว้าง คำว่า เปิดกว้าง” ดูสิ ชาวพุทธมากมายมหาศาลเลยนับถือพระพุทธศาสนา แต่ไม่สนใจเรื่องพระพุทธศาสนาเลย คนโดยส่วนมากนับถือพระพุทธศาสนาไม่เชื่อนรกสวรรค์ ไม่เชื่อเรื่องการเกิดและการตาย ไม่เชื่อๆ เห็นไหม จิตใจมันแตกต่างกัน

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาถ้ามีศรัทธามีความเชื่อขึ้นมา เถรวาทเรา ทาน ศีล ภาวนา เวลาภาวนาขึ้นมาแล้ว เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เวลาท่านสอนไป อย่างเช่นหลวงปู่ดูลย์นี่ปัญญาวิมุตติ หลวงปู่ฝั้นเจโตวิมุตติ

เจโตวิมุตติคือว่าสมาธินำ พวกสมาธิเป็นหลัก แล้วใช้สมาธิเห็นกาย พิจารณากายไปโดยเจโตวิมุตติ ถ้าพิจารณาปัญญาวิมุตติ จิตสงบโดยมีหลักแล้วจะใช้ปัญญาไปเลย ใช้ปัญญาพิจารณาต่างๆ แต่มันอันเดียวกัน อันเดียวกันหมายความว่าอริยสัจมีหนึ่งเดียว อริยสัจมีหนึ่งเดียว

จะพิจารณาอย่างไร จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ พระอรหันต์เหมือนพระอรหันต์ พระอรหันต์ไม่แตกต่างจากพระอรหันต์ แต่วิธีการเป็นพระอรหันต์แตกต่างหลากหลายมาก แตกต่างหลากหลายเพราะคนมันสร้างบุญสร้างกรรมมาแตกต่างกัน

เวลาแตกต่างกันขึ้นมามีการกระทำขึ้นมา ถ้ามีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา สิ่งที่เป็นจุดยืน จุดยืนคือว่าถ้าสิ่งใดมันยังเป็นโลกียะ มันเป็นโลกๆ พยายามจะบรรเทาให้มันน้อยลงๆ จะลอกมันออก แหวกจอกแหนๆ มันเป็นจอกเป็นแหน มันบังน้ำไว้ เพราะไม่มีน้ำ จอกแหนมันเกิดไม่ได้ เวลามันเกิดขึ้นมามันเกิดอยู่บนที่ผิวน้ำนั้น จอกแหนมันบังไปหมดเลย

นี่แหวกจอกแหนๆ ทำความสงบของใจเข้ามา ทำความสงบของใจเข้ามา พุทโธชัดๆ ถ้ามันเห็นน้ำแล้ว เห็นน้ำก็คือน้ำไง น้ำก็เอามาทำกสิกรรม เอามาใช้ดำรงชีวิต เอามาทำสิ่งต่างๆ พอมีสมาธิแล้ว น้ำมันจะเป็นปัจจัย ที่ไหนมีน้ำ ที่นั่นมีชีวิต แล้วมีชีวิต ชีวิตที่จะดำเนินการต่อไปอย่างไร

แต่ของเรา เราเหมือนไม่มีน้ำ เราเหมือนคนแห้งแล้งอยู่ที่กลางทะเลทราย น้ำหยดเดียวก็มีค่านะ เกิดมามีกายกับใจๆ เราพิจารณาขึ้นมา เราทำความสงบของใจเข้ามา ใจต้องสงบเข้ามาก่อน ถ้าใจสงบเข้ามาก่อนมันก็มีแหล่งน้ำไง

แหวกจอกแหน จอกแหนมันปิดหมดเลย จิตมันทึบจนไม่เชื่อว่ามีน้ำ ถ้าไม่เชื่อว่ามีน้ำ เวลามันภาวนากัน เวลาภาวนาไปแล้วต่างคนต่างภาวนาไปว่านั่นเป็นธรรมๆ

ยัง มันต้องทำความสงบของใจเข้ามาก่อน

เวลามันคิด มันคิดได้ด้วยปัญญาทั้งสิ้น เวลาคุยกัน เวลามีจิตใจมีสูงมีต่ำแล้ว เวลาอริยสัจมีหนึ่งเดียว พระอรหันต์เหมือนกันหมด แต่พระอรหันต์มีหลายประเภท แต่เหมือนกันหมด ไม่มีความแตกต่าง แล้วไม่สงสัยในอริยมรรค ไม่สงสัยในมรรค ๘ ไม่สงสัยใดๆ ทั้งสิ้นเพราะอะไร เพราะมันได้มาจากนั้นไง

ถ้ามรรคมันไม่สามัคคี มรรคไม่รวมตัวขึ้นมา จะเป็นอริยบุคคลขึ้นมาไม่ได้ แล้วเวลาเป็นอริยบุคคลขึ้นมาแล้วมันเป็นอริยบุคคลไปด้วยมรรค ๘ สมบูรณ์แบบ

ถ้ามรรค ๘ สมบูรณ์แบบ จะไม่บอกสมาธิจำเป็นไม่จำเป็น ไม่กล้าพูดหรอก คนที่เป็นจริงแล้วไม่กล้าพูด ไม่กล้าแยกแยะเลยว่ามรรค ๘ แตกต่างกันอย่างไร

มรรค ๘ เป็นมรรค ๘ สมบูรณ์แบบ แต่ที่มาที่ไป ปัญญาวิมุตติ เจโตวิมุตติ แล้วแต่ว่าเดินทางทางไหนทั้งสิ้น นี่พูดถึงว่า ถ้ามันเป็นอันเดียวกันมันเหมือนกันหมด

แต่เวลาเราผู้ปฏิบัติใหม่ไง เวลาปฏิบัติใหม่ไปแล้ว เวลาเราไปเห็นสิ่งใด เวลาคนเรานั่งเฉยๆ มีความคิดต่างๆ มีความคิดมีความรู้ความเห็นต่างๆ พวกนักวิทยาศาสตร์เขาจดไว้เลยนะ เพราะเดี๋ยวมันแว็บขึ้นมา ความคิดขึ้นมา นี่โลกๆ ทั้งนั้นน่ะ ปัญญาโลกๆ ไง

ดูสิ ดูนักประพันธ์ เวลาเขามีความคิดขึ้นมาเขาจะจดเอาไว้เลย ประเดี๋ยวเขาไปขยายความต่อได้ เวลาแล้วเรามาภาวนากัน เวลาภาวนาพอจิตไปรู้ไปเห็นนี่ไง ไปเห็นนู่นเห็นนี่เป็นนิมิต เวทนาต่างๆ

ยัง มันเหมือนนักประพันธ์มันมีความคิดแว็บขึ้นมาในความคิด ในความคิดก็จดไว้ๆ นี่พอนั่งภาวนาทำความสงบของใจ พอไปรู้ไปเห็นเราว่ามันใช่

ไม่ เริ่มต้นต้องทำความสงบของใจเข้ามาก่อน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เราให้ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าทำความสงบของใจก็คือทำสมาธินั่นแหละ แต่สมาธิเป็นบาทเป็นฐาน ไม่ใช่สมาธินี้เป็นเป้าหมาย เพราะสมาธิแล้ว เวลาเป็นบาทเป็นฐานแล้ว เวลาฝึกหัดใช้ปัญญา อันนี้สำคัญมาก

หลวงตาท่านสอนประจำ การที่ภาวนามียากอยู่ ๒ คราว คราวหนึ่งคือคราวเริ่มต้น คราวเริ่มต้นกับคราวที่จะจบ คราวที่จะจบ อวิชชานี่จับได้ยากมาก

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ท่านบอกเลยนักภาวนาทั้งหมดไปยอมจำนนอยู่กับอวิชชา มันเป็นอุปกิเลสไง มันผ่องใสมันแวววาวไง มันเห็นมหัศจรรย์ไง แล้วก็ โอ้โฮ! นึกว่าเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ นั่นคืออวิชชา

นักปฏิบัติทั้งหมด ประวัติหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นเทศนาว่าการ นักปฏิบัติทั้งหมดไปยอมจำนนกับอวิชชาทั้งสิ้น ไปยอมจำนนกับความสว่างไสว ไปยอมจำนนกับความว่าง ไปยอมจำนนกับอวิชชาหมดไง นี่ไง เพราะมันจับไม่ได้ไง

ที่มันยาก มันยากอยู่ ๒ คราว คราวหนึ่งคราวเริ่มต้น คราวเริ่มต้นจะทำอย่างไร เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์เกิดมามีอำนาจวาสนาบารมี มีปัญญา มีความรู้สึก มีปัญญาที่ยิ่งใหญ่คิดได้ร้อยแปดเลย แล้วความคิดอย่างนี้คิดโดยอะไร คิดโดยอวิชชา คิดโดยแบบโลก โลกทัศน์ นี่ไง โลกคือหมู่สัตว์ หมู่สัตว์มีภวาสวะ มีภพ มีตัวจิต

นี้ตัวจิตขึ้นมา แล้วพอมีตัวจิตขึ้นมา พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องอริยสัจ เวลาเกิดภาวนามยปัญญา เกิดวิปัสสนาปัญญา ปัญญารู้แจ้งในกิเลสของตน ทีนี้เราก็คิดเอาเลย พอคิดเอาเลยมันก็คิดได้นะ

เหมือนนักประพันธ์ นักประพันธ์ ดูสิ เขาได้รางวัลนะ เขาได้โนเบลเลยแหละในสาขาวรรณกรรม โลกเขายกย่องเลย ไอ้เราก็มานั่งคิดกันอยู่นี่ คิดไปๆ มันก็ร้อยแปดไง แล้วเวลาคิดไปแล้ว แล้วก็รู้จริงๆ น่ะ ก็คิดจริงๆ ก็จับได้จริงๆ ก็เห็นจริงๆ แต่เห็นโดยสามัญสำนึก นี่ไง โลกไง นี่ผลของวัฏฏะ ผลจากการเกิดเป็นมนุษย์แล้วมีสมอง มีกายกับใจๆ แล้วเวลาคิดกันไปก็คิดแบบโลกๆ

โลกๆ คือต้นทุนของเราไง ต้นทุนจากพื้นฐานเดิม ต้นทุนจากทัศนคติ ต้นทุนจากบารมีที่คิด ทีนี้สิ่งนี้มันไม่เหมือนกัน มันไม่เท่ากัน บารมีคนไม่เหมือนกัน

ฉะนั้น เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อานาปานสติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยพื้นฐานก็ทำแบบนี้ ศึกษามากับเจ้าลัทธิต่างๆ ร้อยแปดเลย ปัญญามหาศาลเลย สุดท้ายแล้วเอาตัวไม่รอด เอาตัวไม่รอดก็ทิ้งหมดเลย ไม่ใช่ทางแล้วล่ะ ก็มากำหนดอานาปานสตินี่ไง

แล้วพวกเราก็กำหนดกันอยู่นี่ พยายามทำความสงบของใจ ทีนี้พอจะทำความสงบของใจเข้ามา ไอ้สิ่งที่กิเลสมันมาหลอกมาหลอนก็นี่ไง รู้นู่นเห็นนี่แล้วก็บอกว่าวิปัสสนา สติปัฏฐาน ๔

วิปัสสนึก คิดกันไปเรื่อยเปื่อย ถ้าคิดไปเรื่อยเปื่อยนะ ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่ดีท่านก็พยายามจะแก้ไขตรงนี้ ถ้าเขามีวาสนานะ

ถ้าไม่มีวาสนานะ มันก็คิดไปทางโลก เราทำอะไรก็ผิด เวลาครูบาอาจารย์พูดกับเราคิดมันก็อันเดียวกันน่ะ กายก็คือกายเหมือนกัน ทำไมมันผิดตรงไหนล่ะ ก็พูดคำเดียวกัน ก.ไก่ สระอา ย.ยักษ์ แล้วเราผิดได้อย่างไร เราก็กายเหมือนกันน่ะ ท่านก็ว่ากาย พิจารณากายๆ เราก็กาย แล้วมันผิดกันตรงไหน

ผิด ผิด ผิดเพราะเรามีกิเลส ผิดเพราะมีความปลิ้นปล้อน ผิดเพราะมันสร้างภาพ ผิดเพราะเป็นอุปาทาน ผิดเพราะมันคิดขึ้นมาเอง

นี่ไง ฉะนั้น เวลาจะชี้ว่าผิด เราก็สงสารนะ เพราะเราก็เป็นแบบนี้ เราก็เป็นเหมือนกัน ตอนภาวนาใหม่ๆ เราก็เป็นแบบนี้ มันเหมือนหมดเลย มันเหมือนในตำราหมดเลย แต่มันก็ไม่ได้ผลไง

แล้วเวลาหลวงปู่มั่นท่านพิจารณาของท่าน พิจารณากายไปแล้วมันก็ธรรมดา มันไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย จนท่านต้องมาลาพระโพธิสัตว์ของท่าน แล้วลาพระโพธิสัตว์แล้ว ไปปฏิบัติแล้ว การที่ปฏิบัติจะยากก็ยากตอนเริ่มต้นนี่ จับพลัดจับผลูกับหลวงปู่เสาร์ พยายามค้นคว้า พยายามเต็มที่เลย อะไรที่เป็นสิ่งกีดขวาง ละหมด ละหมดเลย สุดท้ายก็ต้องมาปรึกษาเจ้าคุณอุบาลีฯ เหมือนกัน เจ้าคุณอุบาลีฯ ก็เป็นนักวิชาการ นักปราชญ์ นักปราชญ์ นักวิชาการ ทางวิชาการนี่ทะลุปรุโปร่ง ก็ต้องมาปรึกษามาอะไร

เวลาจะไปได้ ยากที่สุดคือคราวเริ่มต้น มันเหมือนน่ะ มันเหมือนกับหนังสือ เหมือนกับตำรา เหมือนกับคำเทศน์ครูบาอาจารย์ เหมือนหมดเลย เหมือนก็โดยกิเลสไง คู่เหมือนไง แต่ไม่ใช่คู่จริง คู่จริงไม่ใช่คู่เหมือน

เวลาคู่จริงจิตมันสงบแล้ว อ๋อ! จิตสงบเวลามันเสื่อมมันก็รู้ว่าเสื่อม แล้วเวลามันเสื่อมแล้วจะให้เจริญแสนยาก เวลาปฏิบัติกรรมฐานม้วนเสื่อ พอเสื่อมแล้วไปเลย

นี่เหมือนกัน เราถึงสงสาร เวลาบอก เริ่มต้นในการประพฤติปฏิบัติ เขาถึงบอก จะบอกที่เราบอกว่า เวลาพูดไปแล้วมันน่าเห็นใจ “อะไรๆ ก็ผิด ทำไมคนอื่นถูก ทำไมเราผิดๆ”

ผิดเพราะว่ามันเป็นโลก ผิดเพราะมันเป็นนิมิต ที่รู้เห็นมันเป็นเรื่องโลกทั้งนั้นน่ะ ภาวนาไปแล้วเป็นอย่างนี้ มันก็ไปรู้ไปเห็นของมัน แต่ถ้าคนมีวาสนานะ เราเป็นอย่างนี้ แต่มีวาสนา ยกก้นเลย

มีวาสนาเพราะไปอ่านประวัติของหลวงปู่หลุยกับอัตโนประวัติของหลวงปู่เทสก์ ท่านเขียนเอง อัตโนประวัติของหลวงปู่เทสก์ “เราติดสมาธิ๑๗ ปี อีกองค์หนึ่งติดสมาธิ ๑๑ ปี” พออ่านแล้วมันหนาวเลย ๑๗ ปีนี่นะ ย่ำอยู่กับที่ ๑๗ ปี

ไปอ่านอัตโนประวัติของครูบาอาจารย์ ๒ องค์นี้ ตั้งแต่วันนั้นมาจะรู้จะเห็นสิ่งใด ปฏิเสธ ปฏิเสธตั้งแต่นั่งเลยว่าไม่เอานิมิต ไม่เอาทั้งสิ้น เอาความสงบของใจเท่านั้น พอนั่งไปแล้วนะ มันรู้มันเห็นสิ่งใดก็ปฏิเสธๆๆ พุทโธชัดๆ แล้วปฏิเสธ ปล่อยวางๆ เข้าไปจนกว่าจะเข้าไปสงบจริง

มันมีอุดมคติเพราะอ่านหนังสืออัตโนประวัติหลวงปู่เทสก์กับหลวงปู่หลุย องค์หนึ่งติดสมาธิ ๑๗ ปี ๑๗ ปี องค์หนึ่งติด ๑๑ ปี ท่านพูดเอง เพราะเวลาท่านติดแล้ว ติดแล้ว ประวัติหลวงปู่เทสก์ ให้ใครแก้ก็ไม่เชื่อฟังใคร ไม่ฟังใครทั้งสิ้น ท่านก็ตระเวนอยู่อย่างนั้นน่ะ สุดท้ายแล้วขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นที่เชียงใหม่ไง นั่นแหละไปแก้กันที่นั่นน่ะ ไปแก้เวลาติดอยู่ ๑๗ ปีนั่นน่ะ

ฉะนั้น พอติดอยู่ ๑๗ ปี นี่ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติ นี่ประวัติของท่านนะ ประวัติท่านเขียนเอง ท่านเอาความผิดพลาดของท่านเองมาเป็นคติแบบอย่างให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษา พอเราศึกษา ๒ องค์นี้แล้วหนาว ตั้งแต่นั้นมานะ นิมิตไม่เอา สิ่งใดเห็นแล้วไม่เอา ไม่เอา อธิษฐานไม่เอาตั้งแต่ก่อนนั่ง ถ้านั่งแล้วมาก็ปฏิเสธ

เขาบอกว่าปฏิเสธไม่ได้ นิมิตมันมา ที่ว่าใครมาถาม

ทำไมจะไม่ได้ เราทำมาหมดแล้วแหละ พุทโธชัดๆ มันไม่ส่งออก ไม่เห็นหรอก สิ่งที่จะรู้จะเห็นคือส่งออกหมด คือเราทำความสงบของใจแล้วเราคิดของเราไป มันก็รู้เห็น มันเหมือนพลังงานที่ส่งออก มันเห็นก็เห็นโดยจิตสงบแล้วเห็น นิมิตทำไมจะไม่รู้ไม่เห็นอย่างไร แล้วเห็น เห็นเพราะอะไร แล้วแก้ แก้อย่างไร เพียงแต่เวลาจะสอนก็

“โอ๋ย! อะไรๆ ก็ผิด”

อ้าว! โทษนะ ก็กูผิดมาแล้ว ก็กูผิดมาก่อน แต่เวลาพูดแล้วไม่มีใครเชื่อ มันต้องให้คนคนนั้นได้สำนึกเอง ได้ทำสมาธิแล้วเสื่อมไปทั้งหมด ได้ภาวนาแล้ว ๕ ปี ๑๐ ปีแล้วไม่ได้อะไรเลย เขาจะได้คิดว่า เอ๊ะ! ทำไมเราทำแล้วเราไม่ได้

ไม่ได้เพราะว่ามันเหมือนกับการทำไร่ทำนา การทำไร่ทำนา เราไถนาไปพร้อมกับหญ้า ทำหัวแห้วหมูพร้อมกับวัชพืชแล้วก็หว่านข้าวไป เอ็งทำไปเถอะ ข้าวมันสู้พวกวัชพืชไม่ได้หรอก วัชพืชมันขึ้นนะ ข้าวขึ้นไม่ได้หรอก

นี่ก็เหมือนกัน “เวลาพอวิปัสสนา กายานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา” มันคิดไปเองไง มันจะวิปัสสนาไปพร้อมกับกิเลสไง มันก็เหมือนกับทำนาพร้อมกับวัชพืช พร้อมกับแห้วหัวหมู พร้อมกับวัชพืชในนานั่นน่ะ เป็นไปไม่ได้หรอก

ชาวนาที่เขาฉลาดเขาไถแล้วนะ เขายังคราด ทั้งคราดทั้งไถให้สะอาด ทั้งคราดทั้งไถขนาดนั้นเวลาปลูก หญ้ามันยังขึ้นเลย เวลาเขาหว่านข้าวแล้ว หญ้ามันขึ้นเขาก็ต้องมาเก็บหญ้า มาเก็บต่างๆ

นี่ก็เหมือนกัน กิเลสตัณหาความทะยานอยากเราก็เหมือนหญ้า มันมีอยู่แล้ว หญ้าไม่ต้องปลูก ฝนตก ขึ้นเลย กิเลสไม่ต้องไปค้นหา อยู่ในใจ มันมีตลอดเวลา มันขึ้นเลย

เราถึงต้องทำความสงบของใจไง เหมือนชาวนาที่ฉลาด ไถคราด ไถแปร ไถแล้วไถเล่า ไถจนดินนั้นควรแก่การงานถึงจะหว่านพืชของเราลงไป แล้วหว่านพืชก็เหมือนกัน ยกขึ้นวิปัสสนาไง แล้วหว่านอะไรล่ะ หว่านได้ข้าวลีบใช่ไหม หว่านข้าวที่เขาต้มน้ำร้อนแล้วใช่ไหม หว่านข้าวที่อะไรล่ะ

นี่ก็เหมือนกัน ยกขึ้นสู่วิปัสสนา วิปัสสนาอะไรล่ะ นึกเอาอุปาทานเอาหรือเป็นจริงล่ะ เวลาหว่านข้าว ไปซื้อพันธุ์ข้าวที่เกิดไม่ได้มาหว่าน นี่ก็เหมือนกัน ยกขึ้นพิจารณากาย พิจารณากายโดยความพอใจของตนโดยความชอบของตน...ไร้สาระ

อันนี้เพราะเขาขอบคุณไง เขาขอบคุณถึงการบอกกล่าวเตือน เราเห็นแล้วเราสงสาร เพราะอะไร เพราะเราก็เป็นแบบนี้ นักภาวนาเริ่มต้นใหม่เป็นแบบนี้หมดล่ะ มันเกิดจากจินตนาการ เกิดจาก...โทษนะ จะเกิดจากทิฏฐิมานะของตนก็ได้ เกิดจากความเห็นของตนนี่แหละ แล้วกิเลสมันก็คือการละความทิฏฐิมานะ ละมานะอหังการของตน

แล้วละอย่างไรล่ะ อะไรคือละล่ะ แล้วละหรือยังล่ะ แล้วจะละตรงไหนล่ะ

นี่พูดถึงว่า ถ้ามันมีครูบาอาจารย์ที่ดีงามท่านจะสอนไปนะ มันจะบอกว่าวิปัสสนึกกับวิปัสสนามันอยู่อันเดียวกันนั่นแหละ

วิปัสสนานะ จิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา มันเป็นภาวนามยปัญญา วิปัสสนึกมันนึกตั้งแต่ต้น นึกตลอดเวลา

“เหมือนกัน แล้วทำไมเรามีแต่ผิดๆ คนอื่นเขาไม่ผิด”

ผิดหมดน่ะ ถ้าเป็นความจริงแล้วมันถึงจะสงบจริงๆ มันจะเป็นความจริงของมัน นี่พูดถึงว่าถ้ามันเป็นอย่างนั้นนะ

เขาบอกว่า เวลาเขาพิจารณาไปแล้วเวลาจิตมันสงบแล้วครั้งหนึ่ง แล้วกลับมาพิจารณาต่อไปเรื่อยๆ พุทโธชัดๆ อยู่ตลอดเวลา มันดีมาก มันดีมาก

มันดีมากเราก็พุทโธไปก่อน แล้วธรรมดา เวลาคนเรานั่งสมาธิ เดินจงกรม มันจะเกิดเวทนา คือมันทั้งเหนื่อยมันทั้งทุกข์มันทั้งยาก เวลามันทั้งทุกข์มันทั้งยาก มันจะทุกข์มันจะยากเพราะจิตมันเคลื่อนมาแล้วแหละ จิตมันเคลื่อนออกจากฐานมันก็มารับรู้ร่างกาย รับรู้เรื่องเวทนา

ถ้าเราพุทโธชัดๆ อยู่นะ มันเข้าไปสู่ฐานของมัน ไม่เคลื่อนออกมานะ ว่างหมดเลย เดินจงกรมทั้งวันทั้งคืนเหมือนลอยไปลอยมา นั่งสมาธิ โอ้โฮ! มันโล่งหมดเลย ถ้าจิตมันอยู่ในฐานที่ตั้งนะ

แต่ถ้ามันคายออกมา ชักปวดๆ แล้ว ชักเจ็บๆ แล้ว มันออกไปรับรู้ไง แล้วออกไปรับรู้เราก็จะเชื่อมันใช่ไหม ออกไปรับรู้แล้วก็จะตามเวทนาไปใช่ไหม แล้วตามเวทนาไป จะเป็นเวทนานุปัสสาใช่ไหม

ไม่ใช่ เพราะจิตมันไม่มีฐาน จิตไม่ตั้งมั่น

จิตตั้งมั่น เวลามันจับเวทนานะ มันเหมือนกับถ่านไฟแดงๆ มันมีคีมไปคีบ เราไม่ร้อนหรอก เราไม่ร้อน เราไม่ทุกข์ไม่ยาก แต่เรามีคีมคีบถ่านแดงๆ ได้

นี่ก็เหมือนกัน พอจิตสงบแล้วมันจับเวทนานะ เวทนาก็เป็นเวทนา จิตก็เป็นจิต พอเวทนาเป็นเวทนา จิตเป็นจิต จิตมันก็จะพิจารณาเวทนา

เพราะคนถือคีมไปคีบถ่านแดงๆ ถ่านแดงๆ มันอันตราย พอมันโดนแล้วมันจะเกิดแผล มันจะเกิดพุพองขึ้นมา คีบแล้วจับขึ้นมา ถ้ามันสงบแล้วจิตเป็นสัมมาสมาธิ มันรู้จักมีสติสัมปชัญญะ มันรู้จัก มันระวังไม่ให้ถ่านหล่นใส่ตัวเอง

ไม่ใช่ว่าเผอเรอก็หยิบถ่านขึ้นมา หยิบถ่านมาก็ไว้บนหัวเลย มันไม่มีหรอกถ้าสติสัมปชัญญะมันพร้อม นี่พูดถึงว่าถ้ามันพร้อมนะ

ฉะนั้น เวลาที่บอกว่าเขาพุทโธๆ แล้วมันดีมาก

พอพุทโธมันดีมากเราก็อยู่กับพุทโธของเราไปก่อน แล้วถ้าจิตมันสงบแล้วมันเดิน ที่ว่าจะนั่งตลอดรุ่ง มันไม่จำเป็นถึงจะนั่งตลอดรุ่ง เราอยู่ตลอดรุ่ง เนสัชชิกดีที่สุด แล้วยืน เดิน นั่ง นอน เรานั่งก็ได้ ลุกยืนบ้างก็ได้ เราทำสิ่งนี้ของเราตลอดไป

แล้วมันพุทโธไปเรื่อยๆ พุทโธชัดๆ พุทโธชัดๆ แล้วไม่ต้องไปห่วงใยว่าแล้วเมื่อไหร่จะวิปัสสนาล่ะ แล้วเมื่อไหร่เราจะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์เสียทีล่ะ ไม่ต้องไปคิด

เอาพื้นฐาน เอาเบสิกของเราให้มั่นคง เอาตรงนี้ให้มันดีงามของเรา แล้วถ้ามันดีงามแล้วเรารู้เราเห็นนะ ไอ้ที่ว่าเวทนามันเกิด ไอ้พวกที่ว่ามันเจ็บมันปวด เวลาเป็นสมาธิแล้วจะรู้

เพราะมันไม่เห็นไง เป็นสมาธิแล้วจะยกขึ้นวิปัสสนา แล้ววิปัสสนาอย่างไรล่ะ แล้วมันจะเห็นกายอย่างไรล่ะ มันไม่เห็น

เวลาสิ่งที่จิตสงบแล้วจะเห็นมันเป็นรอยต่อ สมถกรรมฐานยกขึ้นสู่วิปัสสนากรรมฐาน ไอ้รอยต่อระหว่างสมถะกับวิปัสสนา ไอ้รอยต่อ ส่วนใหญ่แล้วรอยต่อของคนมันต่อกันไม่ได้ มันต่อไม่ติดหรอก มันต่อไม่ติดมันเลยวิปัสสนาไม่เป็น มันเลยวิปัสสนากันไม่ได้ พื้นฐานมันเลยไม่ได้ไง จิตสงบแล้วให้มันอยู่ในความสงบ แล้วถ้ามันสงบแล้ว อย่างที่ว่ามันออกมารู้จักเวทนา ถ้าจิตสงบแล้วนะ เวทนามันจับแล้วมันพิจารณาปล่อยหมด

วลานั่งเล่นไพ่ ๗ วัน ๗ คืนไม่มีเวทนา เวลาเล่นเกมนั่งทั้งวันเลยไม่มีเวทนา นั่งสมาธิเวทนามันเกิดตลอดเวลา เพราะอะไร เพราะจิตใจมันไปจดจ่อกับเกม จดจ่อกับการพนัน

แต่นี่จิตใจมันจดจ่อพุทโธๆ พักหนึ่ง มันโผล่มา จิตมันโง่ จิตมันก็ไปรับรู้เวทนา เวทนาถ้าไม่ไปรับรู้มัน ถ้ามีสติปัญญาพอ เวทนามันก็ไม่เกิด เวทนาก็เป็นเวทนา

แต่ถ้าจิตมันสงบแล้วถ้าเวทนามันจะเกิด ถ้าจับเวทนาได้ มันจับเวทนาได้แบบที่ว่าคีมคีบถ่านแดงๆ มันไม่เจ็บไม่ปวดเท่าไรหรอก มันยิ้มๆ เลยล่ะ พิจารณาเวทนาได้

แต่ถ้าจิตมันอ่อนแอ จิตมันทุกข์มันยากนะ มันยิ่งกว่าภูเขาไฟทับอีกน่ะ เจ็บแสบปวดร้อน เจ็บสองเท่าสามเท่า นี่เวลาวิปัสสนาไป เวลาผ่านการภาวนาไปแล้วมันจะรู้มันจะเห็น ถ้ารู้เห็นแล้วอย่างนั้นมันก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง

ฉะนั้น ให้พุทโธชัดๆ ไว้ก่อน เวทนา เวทนาที่มันเกิดขึ้นเพราะอะไร เพราะจิตมันคายออกมาเวทนา ถ้าเราพุทโธๆ อยู่ จิตมันอยู่กับพุทโธ จิตมันรับรู้ได้หนึ่งเดียว มันจะรู้จักเวทนาได้อย่างไร

เราพุทโธๆๆ “หลวงพ่อขอบคุณมาก หลวงพ่อบอกให้พุทโธชัดๆ ชัดๆ”

ไม่ชัดแล้ว ถ้าชัดมันอยู่กับพุทโธ มันไม่มาเวทนาหรอก ถ้ามันมาเวทนา มันรับรู้เวทนา นั่นพุทโธไม่ชัดแล้ว เพราะพุทโธไม่ชัดจิตมันถึงไหลมาอยู่กับเวทนาไง ถ้าจิตมันยังอยู่กับพุทโธชัดๆ มันจะไม่ไหลมาเวทนา เวทนามันไม่เกิดหรอก

เวทนาเวลาอยู่กับพุทโธชัดๆ เวทนาไม่มี เวทนามันหายไปไหนล่ะ เวลาจิตมันโง่ มันทิ้งพุทโธมา พอมารู้เวทนา “เวทนามันรู้ก็อยากพิจารณาเวทนา”

ชัดๆ ไว้ก่อน ชัดๆ ไว้ก่อน

นี่ขนาดขอบคุณนะ แหม! หลวงพ่อเตือนมันสุดยอด แล้วเริ่มต้นใหม่ ทำใหม่อย่างนี้ไปก่อน ทำใหม่ของเราไปเรื่อยๆ อยู่กับพุทโธชัดๆ ไป ไม่ต้องไปห่วงว่าอะไรมันจะเกิด

สิ่งที่มันจะเกิดคือมันไหลออกมาจากพุทโธนั่นน่ะ มันไหลมาแล้ว พุทโธ ไอ้ปากก็บ่นพุทโธไป ไอ้ใจมันไปอยู่ที่เวทนานู่นน่ะ

พุทโธ ปากกับใจให้มันตรงกัน ให้อยู่กับพุทโธอย่างนั้นชัดๆ อย่าให้มันไหลไป มันไหลไปนั่นคือตัวพลังงาน ไอ้ปากนี่พูดเป็นสักแต่ว่า นกแก้วนกขุนทองไง แต่ไอ้ตัวจริงมันไหลไปเวทนา มันถึงเวทนามันถึงเจ็บไง

แล้วถ้ามันกลับมาที่พุทโธ เวทนาก็หาย เพราะจิตมันวกกลับมาอยู่ที่พุทโธ มาอยู่กับพระพุทธเจ้า กอดพระพุทธเจ้าไว้ เคารพพระพุทธเจ้าไว้ เอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พุทธะๆ พุทโธนั่นน่ะ ทำต่อเนื่องไปแล้วมันจะดีขึ้นของมันไปต่อเนื่อง อันนี้จบ

ถาม : เรื่อง “กราบขอหนังสือครูบาอาจารย์”

กระผมข้าราชการบำนาญครูลาออกมา ๓ ปีแล้ว จะขอหนังสือ

ตอบ : เดี๋ยวจะให้เจ้าหน้าที่เขาจัดการให้ ถ้าเขาจะขอหนังสือ จบ

ถาม : กราบหลวงพ่อ ผมนั่งสมาธิทำความสงบใจเข้ามาจนจิตรู้สึกสงบได้ในระดับหนึ่ง จนสักพักรู้สึกว่ามันทุกข์มาก มีความรู้สึกว่าทุกข์ แต่ภาวนาพุทโธตลอดไปไม่ได้ขาดเลย เพราะไม่เชื่อความรู้สึกนี้ มันต้องเป็นสัญญาแน่ๆ เลยกลับมาพุทโธอยู่ตลอด แต่ความรู้สึกทุกข์นี้ยังอยู่ตลอด ทั้งที่ไม่ได้ปล่อยพุทโธเลย

เลยจับมาพิจารณาว่า ทำไมถึงทุกข์ ทำไมถึงรู้สึกอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ พิจารณาไปอย่างนั้น แต่ก็ไม่ค่อยออก เลยกลับมาพุทโธ มันก็รู้สึกอยู่ ทั้งๆ ที่ไม่สนใจสิ่งอื่นสิ่งใดนอกจากพุทโธเลย มันแฉลบก็ว่าไม่ใช่ เพราะมันชัดมาก แล้วสักพักผมก็ค่อยๆ ถอนจากสมาธิ

หลวงพ่อครับ ผมขอคำชี้แจงเลยครับ กราบขอบพระคุณ

ตอบ : เมื่อกี้นี้มันบอกเวลาพุทโธๆ ไปแล้วจิตมันดีขึ้น มันดีขึ้น มันเห็นได้ชัดเจนขึ้น พอเห็นได้ชัดเจนขึ้นมันก็ไพล่ไปเวทนา

ไอ้นั่นหัดใหม่ ไอ้นี่ทำสมาธิ พอทำสมาธิๆ สมาธิแล้วมันทุกข์มากๆ

ทุกข์มันก็ทุกข์อยู่แล้ว แต่ด้วยความที่เราได้ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแล้ว เราเชื่อมั่นในธรรม ในอริยสัจ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ เราเชื่อมั่นในอริยสัจ ในมรรคผลนิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราถึงตั้งใจจะมาภาวนาพุทโธๆ

ถ้าพุทโธๆ แล้วพอภาวนาไปสักพักรู้สึกว่าทุกข์มากๆ

มันก็ทุกข์ มันทุกข์อยู่แล้ว โดยสัจจะ ทุกข์นี้เป็นสัจจะ ทุกข์นี้เป็นความจริง คนเกิดมา ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ แล้วทุกข์ดับไป ทุกข์นี้เป็นสัจจะเป็นความจริงเลย ถ้าทุกข์เป็นสัจจะเป็นความจริง

แต่ทางโลกเขา โลกเขามันเป็นเรื่องโลกไง พอเป็นเรื่องโลก ความทุกข์อย่างนั้นเป็นการทุกข์แบบหาปัจจัยเครื่องอาศัย ความทุกข์ของโลกนี้ ทุกคนเกิดมาแล้วมีหน้าที่การงานต้องพยายามขวนขวายหาอยู่หากินมีหน้าที่การงานมันก็เป็นความทุกข์ เราอยู่ในสังคม สังคมมีการติฉินนินทา สังคมมีการเบียดเบียนกันเราก็ทุกข์ใช่ไหม เราไปอยู่ที่ไหนมีแต่การขาดแคลนเราก็ทุกข์ใช่ไหม นี่มันเป็นเรื่องประจำโลกเลย นี่ทุกข์อยู่แล้วนะ

แล้วถ้าเราเป็นชาวพุทธ เรามีอำนาจวาสนาบารมี เราอยากจะประพฤติปฏิบัติ เราอยากพ้นจากทุกข์ เวลาปฏิบัติไป ความทุกข์ในการปฏิบัติมันทุกข์ยิ่งกว่าทางโลกเขา ทางโลกเขาทุกข์เพราะหลง ทุกข์เพราะปรารถนา ทุกข์เพราะต้องการให้เขาชื่นชมเรา ทุกข์ๆๆ แล้วผลตอบสนองคือศูนย์ ไม่ได้อะไรเลย

แต่นี่เรามีความเชื่อในพระพุทธศาสนา เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาปฏิบัติ ปฏิบัติเข้าไปเผชิญกับความจริง คือเข้าเผชิญกับทุกข์ มันจะทุกข์มาก แต่ทุกข์ด้วยความพอใจ เราเผชิญหน้ากับความทุกข์ ให้ด้วยศรัทธาด้วยความเชื่อด้วยความมั่นคงของเรา จนความทุกข์มันต้องอาย มันต้องหลบหน้าไปเลย เราเข้าเผชิญกับความจริง เผชิญกับความทุกข์เลย เผชิญกับความทุกข์ เผชิญกับสัจจะความจริง

นี่ไง การปฏิบัติไง จะบอกว่า เวลาปฏิบัติทุกข์ไหม ทุกข์ แต่ทุกข์เพราะเราต้องการจะพ้นทุกข์ ในเมื่อเราต้องการจะพ้นทุกข์ เราก็จะไปเผชิญกับทุกข์ เหมือนหนามยอกเอาหนามบ่ง เวลาเดินไปนะ เราเหยียบเอาหนามยอกนะ เสี้ยนตำเท้านั่นน่ะ ถ้าเราไม่กล้าบ่งออกนะ มันจะเป็นหนอง มันจะเป็นแผล มันจะเป็นบาดทะยัก

อันนี้ก็เหมือนกัน เราเผชิญกับทุกข์ เราจะเอาอริยสัจ เอาความเพียร เอาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาขึ้นมา เข้าไปเผชิญกับทุกข์ ทำไมจะไม่ทุกข์ ทุกข์ ทุกข์ ทุกข์แต่พอใจ แล้วถ้าพอใจแล้วทุกข์มันก็เป็นทุกข์

ทุกข์ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ทุกข์ เวลาทุกข์ไม่มีในเรา เราไม่มีในทุกข์ เห็นไหม

เวลาเป็นความจริงทุกข์ไหม ทุกข์ มันเป็นความทุกข์เป็นความจริงอยู่แล้ว แต่เป็นเราหรือเปล่าล่ะ มันไม่ใช่เรา แล้วมันก็ไม่มีในเราด้วย แต่เราคิดเพี้ยนไป เราคิดว่าเราปฏิบัติแล้วเราจะพ้นทุกข์ เราจะไม่มีทุกข์

ทุกข์ เสี้ยนตำเท้า แล้วเราจะบ่งเสี้ยนน่ะมันเจ็บ แต่ถ้ามันบ่งเสี้ยนออกแล้วมันหายทุกข์

แต่ทางโลกเขา เขาไม่กล้าบ่ง เขาปล่อยให้มันเป็นหนอง แล้วเขาก็ไปหาพระไปหาเจ้าให้พ่นน้ำลาย พ่วง! พ่วงอยู่นั่นน่ะ อยากจะให้เสี้ยนมันหลุด ไม่หลุดหรอก เดี๋ยวเสี้ยนมันจะเข้าไปลึกกว่านั้นอีก แต่ของเรานะ พอเท้าตำเสี้ยนแล้วเราจะบ่งออก ทุกข์ไหม ทุกข์

ฉะนั้น คำว่า ทุกข์แล้ว” เราจะบอกว่า ถ้ามันเป็นความทุกข์ มันเป็นสิ่งใดนะ เรามีสติมีปัญญาขึ้นมา เราเข้าใจได้ ถ้าเราเข้าใจได้นะ เราเข้าใจได้แล้วเราวางได้ พอวางได้ เวลาจิตมันสงบระงับอย่างที่ว่านี่ ว่างหมดเลย เดินจงกรมนี่นะ ลอยไปก็ลอยมา โอ้โฮ! เฮ้ย! มันทำไมเวิ้งว้างอย่างนี้วะ เฮ้ย! ทำไมมันมีความสุขอย่างนี้วะ แต่นานๆ เป็นครั้งหนึ่งนะ มันจะทุกข์ ๙๐ เปอร์เซ็นต์

เวลาเดินจงกรมนี่ทั้งทุกข์ทั้งยากทั้งลำบากลำบน ทุกข์แสนเข็ญ ทุกข์ตลอดเวลา ทุกข์ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ไอ้ที่ว่าตัวเบาๆ ลอยๆ นานๆ จะได้สักทีหนึ่ง

มันเป็นการยืนยันว่าทุกข์มันไม่มี เป็นการยืนยันว่า ถ้าจิตมันสงบแล้วมันเวิ้งว้าง เดินจงกรมเหมือนลอยไปลอยมานะ ว่างหมดเลย มีความสุขมาก แล้วทุกข์มันไปไหนล่ะ

แต่ก่อนที่จะบ่งหนามออก ก่อนที่มันจะบ่งทุกข์ออก ไอ้ที่ว่ามันเป็นทุกข์มากนี่

ฉะนั้นบอกว่า ทุกข์มากแล้วไปถามหลวงพ่อ หลวงพ่อสอนผมทีว่าทำแล้วไม่มีทุกข์เลย

ทุกข์ทั้งนั้นน่ะ แต่เราต้องวางอารมณ์ความรู้สึกของเรา เราต้องวางใจของเรา เราวางใจของเรา อย่าไปหมกมุ่นกับทุกข์ เราไปหมกมุ่นกับทุกข์ ทุกข์มันจะขยายตัวใหญ่ขึ้นๆ จนทำให้เราอ่อนแอ จนทำให้เราแหยง จนทำให้เราไม่กล้ากระทำไง

เราอย่าไปหมกมุ่นกับทุกข์สิ เราไม่ไปหมกมุ่นกับทุกข์ เราเชื่อมั่นในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปีต้องสิ้นกิเลส

คำว่า ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี” ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม สมควรแก่ธรรม เราต้องวางหัวใจเราไว้ที่สติสิ เราวางหัวใจเราไว้ที่สติ ที่สมาธิ ที่ปัญญาสิ เราไม่เอาหัวใจเรา เอาความรู้สึกของเราไปกองไว้กับทุกข์สิ

ทุกข์มันเป็นทุกข์อยู่วันยังค่ำ แล้วทำไมต้องเอาหัวใจไปกองไว้กับที่ทุกข์นั้นล่ะ ให้ทุกข์มันกระทืบซ้ำสองชั้นสามชั้นล่ะ ทำไมเราไม่เอาหัวใจไปตั้งสติล่ะ

การประพฤติปฏิบัติมันตั้งสติขึ้นมา สติสัมปชัญญะขึ้นมาแล้วเดินจงกรมไป ทุกข์มันจะอยู่ที่ไหน ทุกข์มันไม่มี แต่เราต่างหากไปยอมจำนนอยู่กับทุกข์แล้วให้ทุกข์มันเหยียบย่ำซ้ำอีก แล้วบอกว่าทุกข์ๆๆ

ทุกข์เพราะเราปรารถนา เราจะเดินจงกรม เราจะนั่งสมาธิ เราจะภาวนา มันจะทุกข์แค่ไหน จะทุกข์เจียนตายให้มันตายไปซะ แล้วที่มันเหลือมันจะเหลืออะไร ถ้ามันคิดอย่างนี้มันก็จบไง

นี่บอกว่า โอ้โฮ! มันทุกข์มากเลย แล้วหลวงพ่อแนะนำสิว่าแก้ทุกข์อย่างไร

โอ้โฮ! เรานั่งอยู่นี่เราก็ทุกข์นี่ นั่งอยู่นี่ก็เหนื่อยนะ ภาษาว่าหลวงพ่อก็ทุกข์ แล้วหลวงพ่อจะไปช่วยใครล่ะ หลวงพ่อก็ทุกข์อยู่นี่ แล้วคนอื่นทุกข์ ก็ทุกข์เราก็เต็มตัวอยู่แล้ว แล้วเราจะไปช่วยทุกข์ใครล่ะ

ภาวนาไปเถอะ เวลามันปล่อยวางแล้วมันก็จบ

นี่พูดถึงเวลาว่ามันทุกข์นะ สักพักหนึ่งความทุกข์มันเกิดขึ้นมาก ผมก็กลับมาพุทโธต่อไปๆ พุทโธไม่ได้ขาดเลย

พุทโธต้องให้พุทโธจริงๆ แล้วภาษาเรา สักสามสิบนาที ชั่วโมงหนึ่ง เวลาเราตั้งอยู่พุทโธๆ โดยธรรมชาติจิตมันต้องไหลไปรับรู้เรื่องอื่นเยอะแยะไปหมดน่ะ เราก็ต้องฝึกหัดสิ ไอ้นี่เราเพิ่งเห็นช่องทางใช่ไหม แต่เดิมเราก็เชื่อความรู้ความเห็นเราตลอด

ไม่เชื่อ อย่าเชื่อ อย่าเชื่อความเห็น อย่าเชื่อทุกข์ อย่าเชื่อว่าเรารู้

พุทโธไว้ชัดๆ พุทโธไว้ชัดๆ ไม่เชื่อใครเลย เชื่อความจริงที่มันเกิดขึ้นไง พุทโธชัดๆ พุทโธชัดๆ ทำเท่านี้

ไอ้ที่เวทนามันจะเกิดมันจะทุกข์มันจะยาก มันเป็นเรื่องธรรมดา คนกินข้าวอิ่มนะ กินจนอืดก็ทุกข์นะ คนกินข้าวกินเกินพอดีนั่นก็ทุกข์ เรื่องกินยังทุกข์เลย กินเข้าไปล้นคอนั่นน่ะ จนจุกตายนู่นน่ะ

นี่พูดถึงว่า ตั้งสติให้ดีสิ ตั้งสติให้ดี แล้วสิ่งที่มันเกิดขึ้นเราอย่าไปรับรู้มัน เราเชื่อมั่นในพระพุทธเจ้า

เวลาของเรานะ เราประพฤติปฏิบัติเวลาเราทุกข์เรายากขึ้นมา เราจะคิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยังหลงผิดอยู่ ๖ ปี ท่านทำทุกรกิริยานะ ท่านไปนอนบนตะปูอย่างนี้ ไปลุยน้ำลุยไฟ โอ้โฮ! ทุกข์มาก เรายังทุกข์น้อยกว่าท่านเยอะ

แล้วเราก็คิดถึงหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นขนาดเป็นพระที่ดีงามนะ ขนาดว่าฝ่ายปกครองเขาไม่พอใจ เขาไล่ ไม่ให้ใส่บาตร ไม่ให้กิน โอ้โฮ! ทำความดีมาขนาดนี้ บิณฑบาตเขายังจะจับเลยนะ

โธ่! ทำดีใครจะคิดว่ามึงดี ทำดีก็เพื่อดีของเรานั่นน่ะ ฉะนั้น เราทำของเราไป

แล้วอย่างที่ว่า เวลาทำไปๆ แล้วมันเหมือนคอยจะส่งออก

มันส่งออกมันเป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว พลังงานทุกอย่างกระจายตัวออก ไม่มีย้อนกลับ พลังงานในหัวใจ ความคิด มันส่งออก

มันบอกมันแฉลบ

มันไปอยู่แล้วโดยธรรมชาติของมัน พุทโธๆ จนมันนิ่ง มันไม่ส่งออก ส่งออกไปเห็นนิมิต ส่งออกไปรับรู้ทุกข์ ส่งออกไปเอาแต่คำติฉินนินทามาแบกไว้ ส่งออกไปดูเขานินทา เจ็บปวดแสบร้อน แต่ความดีไม่เคยคิดถึง นี่มันไปหาเรื่อง จิตเราทั้งนั้นน่ะ

ฉะนั้นบอกว่า ที่มันแฉลบออกไป

ก็มันแฉลบอยู่แล้วไง เราถึงต้องพุทโธชัดๆ ไง เวลามันแฉลบไปก็ดึงกลับมาใหม่ไง

แล้วมันแฉลบไป บอกว่ามันแฉลบไปแล้วมันชัดมาก

มันชัดมากแสดงว่าเราหลง เราหลงไปเชื่อมัน หลงไปเชื่อมันก็ปล่อยพลังงานไปชัดมากนั่นเลย แต่ถ้าเป็นความจริงมันจะชัดตรงไหน มันจะมีอะไร ถ้าหัวใจยังอยู่กลางอกนี้ ถ้าความคิดยังอยู่กับเรามันจะมีอะไร ไอ้ที่มันออกไปรับรู้เพราะมันทิ้งฐานแล้ว มันไปอยู่ที่แฉลบนั่น ไปอยู่ที่เวทนานั่น ไปอยู่ที่ทุกข์นั่น

ความคิดที่เร็วที่สุดในโลก ลองคิดถึงอเมริกาตอนนี้สิ เราคิดอยู่นี่เราไปนิวยอร์กกลับมาสองเที่ยวแล้ว เราจะไปวอชิงตันกลับมาสามรอบ เราไปบาหลีกลับมาแล้ว มันไปอย่างนั้นน่ะ แล้วจะว่ามันไม่แฉลบ มันแฉลบอยู่แล้ว มันเป็นธรรมชาติของจิต ธรรมชาติของไอ้จิตไอ้ตัวกะล่อน

หลวงตาท่านสอนลูกศิษย์ประจำ วันนี้หมดกล้วยกี่หวี จิตมันกะล่อนมันคิดมาก วันนี้หมดกล้วยกี่หวี มันวอกแวกยิ่งกว่าลิง แล้วมันไปรับรู้อะไร เชื่อมันหรือ

อย่าไปเชื่ออะไร ไม่เชื่อ เราเชื่อพระพุทธเจ้า เชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเราเชื่อที่นี่ ถ้าทำให้มันถึง

มันไม่ถึงธรรมไง มันถึงความคิดของตนไง แล้วมันอยู่ที่จริตนิสัยไง อยู่ที่จริตนิสัยอำนาจวาสนาสร้างมามากน้อยแค่ไหน ถ้าสร้างมามากมันจะมีจุดยืน อิทธิบาท ๔ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา

คนมีอิทธิบาท ๔ เรามีอิทธิบาท ๔ เรามีฉันทะ มีความพอใจ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เรามีฉันทะ มีวิริยะ ความขยันหมั่นเพียร มีจิตตะ มีการใคร่ครวญ มีวิมังสา ถ้ามันรู้ถึงแก่น รู้ถึงความจริง รู้ถึงความจริงมันไม่รู้ตามอารมณ์ รู้ตามความรู้สึก รู้ตามกิเลส รู้ไม่ถึง

เวลาบอก “อะไรๆ ก็ผิด”

ผิดเพราะมันรู้ไม่ถึง รู้ไม่จริง รู้แต่อารมณ์ รู้แต่สันดาน รู้แต่ความชอบ รู้แต่พฤติกรรม แต่ไม่รู้ธรรม แต่พูดธรรมะนะ

มันรู้ไม่ถึงไง ถึงทำความสงบของใจเข้ามา เพราะจิตสงบแล้วเป็นตัวของมัน แล้วถ้ารู้ขึ้นมา รู้ให้ถึง แบบรู้ให้ถึง ทำสิ่งใดทำให้มันเป็นกิจจะลักษณะทำความเป็นจริงขึ้นมา มันก็จะเป็นความจริงแน่นอน ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี อย่างน้อยต้องเป็นพระอนาคามี

เราท่องทุกวันเลยตอนปฏิบัติใหม่ๆ ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี แล้วลุยเต็มที่ ลุยเต็มที่ ผิด ขึ้นหาอาจารย์ หลวงตาขึ้นไป ผัวะ! กระเด็นเลย หลวงปู่เจี๊ยะอัดกันทั้งคืนเลย

เพราะเราต้องการของจริง เราไม่ต้องการของจอมปลอม ไม่ต้องการให้ใครมายกย่องสรรเสริญ ไม่ต้องให้ใครเยินยอ เราจะเอาความจริง เอาความจริงขึ้นหาครูบาอาจารย์ที่เป็นจริง ผัวะ! กระเด็นทุกทีเลย แต่มันก็ได้ความจริงไง แล้วความจอมปลอมเต็มหัวใจ

นี่ก็เหมือนกัน รู้ไม่ถึง รู้ไม่จริง แล้วพูดธรรมะเหมือนกัน แล้วพอพูดว่า “ทำไมเราผิดล่ะ ทำไมมันถูกล่ะ นู่นก็ถูก เราผิดคนเดียว”

เราผิดมายิ่งกว่านี้อีก ผิดมาจนหลวงตากระทืบๆ เอา จนเล็ดออกมาจากรอยนิ้วร่องนิ้ว จนมานั่งอยู่นี่

เวลามันรู้มันเห็นรู้เห็นร้อยแปด เชื่อไม่ได้ทั้งสิ้น แล้วเวลาเชื่อไม่ได้ ฉะนั้น เวลาพูดไปแล้ว เมื่อก่อนเริ่มต้นเขียนมาเยอะแยะไปหมดเลย เราว่ามันไหลไปเรื่อยๆ นี่ก็ยังไหลอยู่ แฉลบคือไหลไปแล้ว มันไหลไป พอมันไหลไปมันไม่เป็นจริงเป็นจังหรอก

ถ้าเป็นจริงเป็นจัง จิตตั้งมั่น เห็นชัดๆ จากอุคคหนิมิต วิภาคะขยายส่วน การขยายส่วนคือไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์มันเป็นอย่างไร อนิจจังเป็นอย่างไร ทุกอย่างจะเป็นอย่างไรมันจะรู้จริงเลย ถ้ารู้ถึงแล้วนะ จบ

ฉะนั้นบอกว่า ตั้งใจนะ พุทโธชัดๆ แล้วที่มันเวทนงเวทนามันไหลไปแล้วล่ะ มันไหลไปเหมือนเดิม แล้วชัดๆ ขึ้นมา ชัดๆ บ่อยๆ แล้วตั้งมั่นให้ได้ ให้อยู่กับความสงบ ให้เราแบบว่าให้มีความฟิต ร่างกายแข็งแรง จิตใจแข็งแรงแล้วเราค่อยไปฝึกหัดวิปัสสนา ตอนนี้ไม่ต้องไปเชื่ออะไร ทำของเราได้ก็เป็นปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เป็นผลการปฏิบัติของเราให้รู้จริง เราต้องการความจริง ต้องรู้ให้ถึงแก่น ไม่ใช่รู้ตามกิเลสมันปลิ้นมันปล้อนมันหลอกมันลวง มันแฉลบนี่แหละ

เหมือนกับยิงเป้าบิน เขาเอาเป้าปลอมโยนให้ยิง โยนให้ยิงอยู่นั่นน่ะ ไม่โดนตัวมันเลย นี่ก็เหมือนกัน รู้ตามความคิด รู้ตามความเห็น รู้ต่างๆ รู้ตามกิเลส ไปยอมจำนนกับมันทั้งสิ้น ไม่เป็นความจริงสักที

ถ้าเป็นความจริงมันจะเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ถ้ารู้จริงนะ “หลวงพ่อไม่ต้องพูด หลวงพ่อไม่ต้องพูด อย่าพูดๆ” ถ้ามันรู้นะ มันไม่ให้ใครพูดเลย มันกลัวพูดแซงหน้ามัน แต่ถ้าไม่รู้มันจะวิ่งถามอย่างนี้

ถ้ารู้แล้วนะ “เงียบ อย่าพูดๆ” รู้มันรู้จริง มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก นี่พระพุทธศาสนามั่นคงยอดเยี่ยม พระพุทธศาสนาเท่านั้น เอวัง